วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หลักการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ที่ได้รับรางวัล

  โครงการประกวดโปสเตอร์
คนรุ่นใหม่ เมาไม่ขับ รับผิดชอบสังคม ครั้งที่ 2”
จัดขึ้นโดย บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัด (สาขาประเทศไทย)
เพื่อจะสร้างเสริมความปลอดภัยให้แก่สังคมไทย
โดยความร่วมมือจาก มูลนิธิเมาไม่ขับ และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

http://www.ms-ins.co.th/home/html/article.aspx?contentid=221
        โครงการประกวดโปสเตอร์ คนรุ่นใหม่เมาไม่ขับ รับผิดชอบสังคม ครั้งที่ 2 นี้ มีผลงานส่งเข้าประกวดจากทั่วทุกภาค รวมทั้งสิ้น 642  ผลงานจาก  528 ทีม จำนวนผลงานที่เข้ารอบคัดเลือก ทั้งหมด 30 ชิ้น และคัดเลือกจนเหลือเพียง 6 ชิ้น เพื่อชิงรางวัลมูลค่า 100,000 บาท
     ซึ่งโครงการนี้มีเจตนารมณ์เพื่อประชาสัมพันธ์และรณรงค์ส่งเสริมให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมเมาไม่ขับรู้จักมีความรับผิดชอบต่อสังคม  เพื่อเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุในสังคมไทย โครงการนี้ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาได้ใช้ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน ในรูปแบบของสื่อรณรงค์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง โดยในปีนี้มีผู้สนใจส่งผลงานมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 3 เท่า
       จากทั้งสิ้น  642 ผลงาน คณะกรรมการได้ทำการคัดเลือกผลงานที่มีไอเดียโดนใจมากที่สุด จนได้ผลงานชนะเลิศ 3 รางวัล และรางวัลชมเชย 3 รางวัล แต่ผลงานที่ผมรู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษและคิดว่ามีไอเดียที่แหวกแนวแตกต่างไปจากผลงานอื่นๆ ก็คือ ผลงานที่ชื่อว่า ตายเรียบ

ตายเรียบ
ไม่ว่าคันไหน ก็ตายเรียบ
ได้รับรางวัลที่ 3  จากโครงการประกวดโปสเตอร์
คนรุ่นใหม่เมาไม่ขับ รับผิดชอบสังคม ครั้งที่ 2” 
http://www.ms-ins.co.th/home/html/article.aspx?contentid=221

 
ผลงานกลุ่มของ  นาย ประพฤทธิ์  พุทธิวรา , นาย รักเกียรติ  ศิริวัฒน์ , นางสาว เบญจรัตน์ วงษ์วิลัย
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

       จากโปสเตอร์ชิ้นนี้เมื่อผมเห็นตอนแรกก็คิดว่าเป็นโปสเตอร์ที่ดูเรียบง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้ และทำไมถึงได้รับรางวัลมันดูแทบจะไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสำหรับโปสเตอร์ชิ้นนี้ แต่ถ้าลองคิดและดูอย่างมีวิจารณญาณถึงผลงานชิ้นนี้ ก็จะเห็นไอเดียและความคิดที่แปลกใหม่ กล้าที่จะล้อเลียนโฆษณาสินค้าสำหรับกำจัดแมลงสาบที่เราพบเห็นกันทั่วไป ซึ่งมันทำให้โปสเตอร์ชิ้นนี้ดูไม่เหมือนกับผลงานชิ้นอื่นๆ ที่เคยเห็นมา 
      ลักษณะการออกแบบโปสเตอร์ชิ้นนี้เป็นเหมือนกับการล้อเลียนโฆษณาสินค้ากำจัดแมลงสาบทั่วๆ ไปที่เราพบเห็นและคุ้นเคยกันดี ซึ่งเป็นการหยิบยกเอาเหตุการณ์การเกิดอุบัติเหตุของรถตามท้องถนนที่พลิกคว่ำ หรือหงายท้องในท่าทางต่างๆ กันไป แต่ถ้าดูดีๆ รูปรถเหล่านั้นมันคล้ายกับแมลงสาบที่เวลาตายเพราะยาฆ่าแมลงจะหงายท้อง ซึ่งดูเป็นการเสียดสีคนเมาแล้วขับว่า ชีวิตของคุณและรถของคุณก็อาจจะตายเหมือนกับแมลงสาบที่ไร้ค่าได้ หากคุณเมาแล้วขับ เพียงแค่ไม่ได้ถูกยาฆ่าแมลงฆ่าเหมือนแมลงสาบ แต่ถูกสารเคมีที่เรียกว่า แอลกฮอล์ฆ่า เมื่อคุณเมาแล้วขับ ผมต้องขอยกย่องผู้คิดและผู้ออกแบบโปสเตอร์ชิ้นนี้ที่กล้าเปรียบเทียบคนเมากับแมลงสาบ ซึ่งเชื่อว่าใครหลายๆ คนคงคิดไม่ถึง ส่วนในเรื่องการใช้สีนั้นผมเห็นว่าโปสเตอร์ชิ้นนี้ดูเรียบง่าย การใช้สีก็เลยดูจะไม่ค่อยจะโดดเด่นเท่าไหร่ พื้นหลังใช้เป็นสีขาวเรียบๆ ไม่ฉูดฉาดเหมือนเป็นการเน้นภาพรถทั้งหลายเหล่านั้นมากกว่า  ส่วนในด้านการใช้ข้อความก็ไม่มีอะไรโดดเด่นที่จะมากระชากใจคนที่ดูผ่านๆ ตาได้ แต่ถ้ามองดีๆ ก็จะเห็นข้อความมุมขวามือที่ว่า  ไม่ว่าคันไหนก็ตายเรียบ  โดยถูกแอลกฮอล์ฆ่า ซึ่งเป็นเหมือนการล้อเลียนสโลแกนสินค้าสำหรับกำจัดแมลงสาบที่ว่า  ไม่ว่าตัวไหนก็ตายเรียบ โดยถูกยาฆ่าแมลงฆ่า เช่นกันกับคน ที่ถูกแอลกฮอล์ฆ่า แค่คำนี้คำเดียวผมว่ามันก็สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนดี ซึ่งตีความหมายว่า ถ้าดื่มแอลกฮอล์ ขณะขับรถ ไม่ว่าคันไหนๆ ก็ไม่มีทางรอดชีวิตจากอุบัติเหตุได้เด็ดขาด
       โปสเตอร์ชิ้นนี้ดูโดยรวมเป็นการเน้นการสื่อความหมายผ่านภาพมากว่าตัวหนังสือ เน้นการเสนอไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ที่ต้องการสื่อถึงคนที่คิดจะเมาแล้วขับ ให้รู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตตนเองว่าชีวิตตนเองยังมีคุณค่ากับตัวเองและผู้คนรอบข้างอยู่ ไม่ไร้ค่า น่ารังเกียจและตายง่ายๆ เหมือนชีวิตของแมลงสาบ
       ถึงแม้โปสเตอร์ชิ้นนี้จะได้รับรางวัลที่ 3 อาจจะพลาดรางวัลที่ 1 และที่ 2 ในด้านการออกแบบและรายละเอียดของภาพบางอย่างไป แต่ถ้ามองในด้านไอเดีย และความคิดสร้างสรรค์แล้วล่ะก็ ผมว่าก็ไม่แพ้ทั้ง 2 รางวัลที่ชนะเลิศเลย เพียงแต่โปสเตอร์ชิ้นนี้ เป็นการสื่อสารให้ผู้ดูรับรู้ผ่านทางภาพมากว่าตัวอักษรหรือคำต่างๆ ที่สำคัญโปสเตอร์ชิ้นนี้สามารถตอบโจทย์ได้ตรง เข้าใจง่าย เป็นไอเดียที่ใครหลายๆ คนอาจจะไม่เคยคิดหรือทำมาก่อน ดูแล้วเท่ห์ทันสมัย เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยข้อคิด กระทบถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้ที่ดูผลงานเป็นอย่างดี  ไม่ว่าโปสเตอร์ชิ้นไหนจะได้รับรางวัลชนะเลิศหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าโปสเตอร์ชิ้นนั้นมีไอเดียไม่เหมือนใครสามารถสร้างจุดสนใจและทำให้คนที่ดูมีความเชื่อและตระหนักในการปฎิบัติตามสิ่งที่โปสเตอร์ต้องการนำเสนอไปได้ ผมว่าโปสเตอร์ชิ้นนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จและชนะเลิศในใจคนที่ดูได้แล้วล่ะครับ!!!
      >>>คุณลองถามตัวคุณหรือยังสำหรับคนที่ชอบเมาแล้วขับว่า พร้อมจะตายเหมือนกับแมลงสาบที่ไร้ค่าไหม ?”
โปสเตอร์ที่ได้รับรางวัล
คนรุ่นใหม่ เมาไม่ขับ รับผิดชอบสังคม ครั้งที่ 2”
http://www.ms-ins.co.th/home/html/article.aspx?contentid=221
รางวัลชนะเลิศอันดับ 1
http://www.ms-ins.co.th/home/html/article.aspx?contentid=221
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 (อันดับ 2)

http://www.ms-ins.co.th/home/html/article.aspx?contentid=221
รางวัลชมเชย

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

หลักการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ที่ชื่นชอบ

โปสเตอร์ (poster)

http://movie.mthai.com/movie-news/39665.html
        สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทโปสเตอร์ เป็นสื่อทัศนวัสดุที่ประกอบด้วยภาพและข้อความเพื่อเผยแพร่ข้อมูลในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การรณรงค์ การสอนและฝึกอบรม หรือเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะกิจบางอย่างในแต่ละวาระ   โปสเตอร์เป็นสื่อที่จัดทำขึ้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อดึงดูดสายตาและความสนใจผู้ดูในการสื่อสารให้เข้าใจเนื้อหาได้ในเวลาอันรวดเร็วโปสเตอร์จึงเป็นสื่อสำคัญที่สามารถโน้มน้าวผู้ดูหรือผู้อ่านให้เปลี่ยนแนวความคิดที่มีอยู่เดิมได้ หรือเป็นจุดสนใจแต่ละเรื่องเพื่อการประชาสัมพันธ์เรื่องที่ต้องการเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบเข้าใจในเรื่องนั้นๆ
        องค์ประกอบของโปสเตอร์โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กหรือใหญ่ หรือเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีองค์ประกอบดังนี้ ได้แก่ รูปภาพของสินค้าหรือบริการ หรือเรื่องราวที่ต้องการจะสื่อสาร มีถ้อยคำที่เป็นตัวอักษรประกอบ ซึ่งต้องเป็นข้อความที่ไม่ยาวนัก ชื่อของผู้เป็นสปอนเซอร์ หรือผู้ที่ผลิตโปสเตอร์นั้น สำหรับโปสเตอร์โฆษณาสินค้า ในบางครั้งก็อาจเพิ่มเติม เครื่องหมายการค้า  หรือคำขวัญเข้าไปด้วยๅ
          แต่ในครั้งนี้ผมจะขอยกตัวอย่างโปสเตอร์ที่ผมรู้สึกประทับใจและชื่นชอบเป็นพิเศษ คือโปสเตอร์ภาพยนตร์ เรื่อง ความสุขของกะทิ โปสเตอร์เรื่องนี้เคยได้รับรางวัล โปสเตอร์ยอดเยี่ยมในงาน ไทยมูฟวี่ โปสเตอร์ อะวอร์ดส์ 2009” ด้วย ซึ่งโปสเตอร์หนังเรื่องนี้มีด้วยกันหลายรูปแบบ แต่โปสเตอร์ชิ้นที่ผมรู้สึกว่าประทับใจชื่นชอบมากที่สุดคือโปสเตอร์ชิ้นที่เป็นรูปภาพหน้าของกะทิตัวละครเอกในเรื่องพร้อมกับปิ่นโตที่วางอยู่ตรงหน้า แค่องค์ประกอบไม่กี่อย่างบนโปสเตอร์แต่ทำไมโปสเตอร์ชิ้นนี้ถึงได้ประทับใจใครหลายๆ คน รวมทั้งตัวผมเอง.........................?
  
( โปสเตอร์ที่ผมชื่นชอบและชื่นชม )
http://movie.mthai.com/movie-news/39665.html
        ลักษณะของโปสเตอร์นี้ ค่อนข้างดูเรียบง่ายไม่หวือหวาในเรื่องเทคนิคหรือสีสันมากนัก แต่จะเน้นการสื่ออารมณ์และความรู้สึกของภาพมากกว่า  ดูแล้วเข้าใจง่าย     วิธีหรือหลักในการออกแบบโปสเตอร์ให้มีความเข้าใจง่ายและเกิดความน่าสนใจนั้นขึ้นอยู่กับ
       องค์ประกอบส่วนที่เป็นภาพ  ภาพที่ใช้บนโปสเตอร์นั้นควรเป็นภาพที่เมื่อมองเห็นแล้วก็ สามารถเข้าใจได้ทันที และควรนำเสนอภาพที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องที่ต้องการสื่อให้มีความเด่นชัด ไม่ควรเป็นภาพที่แสดงระดับงานศิลป์ที่สูงส่งและมากจนเกินไป  ซึ่งลักษณะของโปสเตอร์ที่ผมได้ยกมานี้ เทคนิคของภาพและองค์ประกอบของภาพโดยรวมค่อนข้างดูเรียบง่ายไม่ต้องใช้เทคนิคหรือสีสันอะไรให้มากมาย แต่จะเน้นให้เห็นถึงอารมณ์แห่งความสุขและความไร้เดียงสาของตัวละครที่ชื่อกะทิ ซึ่งได้สื่ออารมณ์ผ่านทางสายตาและรอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความรู้สึกร่วมไปกับภาพ

       ในส่วนที่เป็นตัวอักษร ควรคำนึงถึงเรื่องหลักของการอ่านได้ง่ายเป็นสำคัญ เช่น การใช้สีตัดกันของตัวอักษรกับพื้นภาพ ตามหลักควรให้ตัวอักษรเป็นสีเข้มส่วนพื้นที่เป็นสีอ่อน ดีกว่าจะใช้ตัวอักษรสีอ่อนบนพื้นสีเข้ม ส่วนตัวอักษรที่ใช้บนโปสเตอร์นั้นก็ควรเป็นตัวอักษรที่ไม่อ่านยากจนเกินไป ซึ่งโปสเตอร์หนังเรื่องความสุขของกะทิที่ผมได้ยกมา ตัวอักษรบนโปสเตอร์ที่ใช้ในส่วนหัวของโปสเตอร์นั้นจากข้อความที่ว่า วันไหนๆ หัวใจก็มีความสุข จะค่อนข้างใช้สีที่กลืนกับพื้นหลังไปซะหน่อยไม่ค่อยโดดเด่น แต่ใช้ตัวอักษรที่อ่านง่าย ข้อความนี้เป็นเหมือนคำขวัญหรือสโลแกนของภาพยนตร์เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นโปสเตอร์นี้ทราบถึงConceptของหนัง  ลักษณะของข้อความนี้จะมีความสั้นกระทัดรัดเข้าใจง่าย ถูกต้องตามหลักขององค์ประกอบที่โปสเตอร์ทั่วไปจะต้องมี   ในส่วนชื่อเรื่องนั้นได้ใช้ตัวอักษรที่ค่อนข้างใหญ่มีลูกเล่นไม่เป็นทางการเกินไปเพื่อให้เข้ากับแนวหรือลักษณะของหนังและได้ใช้สีที่ตัดกับพื้นหลังโดยใช้เป็นสีน้ำตาลเพื่อไม่ให้ตัวอักษรจมหรือกลืนกับภาพพื้นหลังมากจนเกินไป

       สี  เป็นองค์ประกอบของการออกแบบที่มีความสำคัญมาก เพราะสีจะมีผลในด้านอารมณ์ และความรู้สึก สียังทำให้เกิดภาพ ดึงดูดความสนใจ และบอกความรู้สึกของสิ่งต่างๆ ก่อนจะเลือกใช้สี ต้องพิจารณาก่อนว่า ต้องการใช้สีทำให้เกิดผลในลักษณะใด และสีใดที่เหมาะกับวัตถุประสงค์นั้นๆ ซึ่งโปสเตอร์ความสุขของกะทิที่ผมยกมานี้จะใช้สีในโทนสบายตา ไม่ฉูดฉาดมากนักทั้งสีตัวอักษรและสีของภาพ เพราะเนื้อเรื่องของหนังเป็นหนังที่ดูสบายๆ เป็นหนังสำหรับครอบครัว จึงไม่สมควรใช้สีที่ฉูดฉาดหรือแรงจนเกินไป

       โปสเตอร์ที่ได้ยกตัวอย่างมานี้ถึงแม้จะไม่ใช่โปสเตอร์ที่ดีหรือสมบูรณ์แบบมากนัก แต่ถือว่าเป็นโปสเตอร์ที่ดูโดยรวมทั้งหมดแล้วมีความเป็นเอกภาพทุกส่วนประกอบ ทั้งตัวหนังสือ สีและภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีจุดเด่นที่จะดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็นได้ คือรูปภาพบนโปสเตอร์ ถึงจะเป็นโปสเตอร์ที่ดูเผินๆ แล้วดูเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกและอารมณ์ของตัวละครที่ถ่ายทอดมายังผู้ที่พบเห็น ซึ่งผมเชื่อว่าโปสเตอร์ชิ้นนี้เป็นอีกสื่อสิ่งพิมพ์ที่ทำให้ใครหลายๆ คน รวมทั้งผมเมื่อเห็นแล้วต้องเกิดความสุขและอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
         สรุปแล้วโปสเตอร์เป็นช่องทางการสื่อสารประเภทสิ่งพิมพ์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างไปจากสื่อสิ่งพิมพ์อื่น คือ โปสเตอร์ติดอยู่กับที่ ที่ติดตั้งต้องรอคอยให้ผู้ดูเป็นฝ่ายเดินทางไปถึงจุดที่ตั้งแสดงอยู่ ในขณะที่สื่ออื่นๆ เช่น นิตยสาร หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ จะเสนอเนื้อหาข่าวสารไปถึงผู้อ่าน  ผู้ชม ในที่อยู่อาศัยโดยตรง ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับการออกแบบโปสเตอร์ที่จะต้องคำนึงเป็นพิเศษ คือ สร้างและยึดความสนใจของผู้ที่มองเห็นโปสเตอร์และเกิดความประทับใจเมื่อได้เห็น หัวใจสำคัญของวิธีการที่จะจับความสนใจผู้ดูโปสเตอร์ นั้นก็คือ ความง่าย และความตรงไปตรงมา  ในการสื่อสาร ความง่ายในที่นี้หมายถึง ความง่ายที่เข้าใจในองค์ประกอบของโปสเตอร์โดยเฉพาะองค์ประกอบสำคัญก็คือส่วนที่เป็นภาพ และส่วนที่เป็นถ้อยคำตัวอักษร ที่ประกอบกันแล้วจะต้องสอดคล้องกันเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจและประทับใจ

>>>>นอกเหนือจากโปสเตอร์ที่ผมชื่นชอบในเรื่องหลักการออกแบบแล้วภาพยนตร์เรื่อง "ความสุขของกะทิ" ยังมีโปสเตอร์ในรูปแบบอื่นที่มีความน่าสนใจรวมทั้งมีการออกแบบที่สวยงามไม่แพ้กัน
แบบที่ 1
http://movie.mthai.com/movie-news/39665.html
แบบที่ 2
http://movie.mthai.com/movie-news/39665.html
แบบที่ 3
http://movie.mthai.com/movie-news/39665.html

แหล่งอ้างอิง
http://www.supremeprint.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538976245


26 / 01 /  2555

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

อิทธิพลและบทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์


หนังสือพิมพ์บันเทิงให้แค่ความบันเทิงสำหรับผู้อ่านจริงเหรอ ?

http://www.surinnews.com/topic_n.php?id=5961

        หนังสือพิมพ์ เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ในระดับแรกๆ ที่มีอิทธิพลต่อคนในสังคมไทย เนื่องจากเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน และยังมีความใกล้ชิดเข้าถึงประชาชนได้ง่าย ทั้งข่าวสารในเรื่อง ภัยรายวัน การบ้านการเมือง กีฬา การศึกษา บันเทิง ฯลฯ โดยเฉพาะข่าวบันเทิงผมเชื่อว่าใครหลายๆ คนให้ความสนใจในคอลัมภ์ข่าวบันเทิงก่อนข่าวอื่นๆ รองจากข่าวหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์ในปัจจุบันจึงได้มีการทำออกมาในหลายๆ รูปแบบเพื่อตอบสนองความสนใจของผู้อ่านในแต่ละด้าน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ประเภทบันเทิง ที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น หนังสือพิมพ์สยามดารา ดาราเดลี่ สยามบันเทิง มายาแชนแนล เราปฎิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าข่าวบันเทิงอยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนานและเป็นข่าวที่สังคมให้ความสนใจในระดับต้นๆ โดยเฉพาะ ข่าวรัก การหย่าร้างของดารา  ภาพหลุด หรือข่าวกอสซิปต่างๆ เป็นต้น
          ข่าวบันเทิงที่นำเสนอตามหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน ผู้อ่านแน่ใจหรือยังว่าข่าวนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ การนำเสนอข่าวทุกวันนี้ผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณอย่างยิ่งในการเสพข่าวสารต่างๆ เพราะมีทั้งข่าวที่เป็นจริง มีความเป็นกลางในการนำเสนอ น่าเชื่อถือ และข่าวที่มีการใส่สีตีไข่จนเกินความจริงเพื่อสร้างกระแสให้เป็นที่สนใจของสังคม หนังสือพิมพ์บันเทิงถือว่าเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่สะท้อนถึงความคิดความเป็นไปของคนในสังคมว่า ณ ปัจจุบันคนในสังคมส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับข่าวประเภทไหนมากที่สุด ซึ่งมันก็สะท้อนออกมาให้เห็นแล้วว่า คนในสังคมส่วนใหญ่ให้ความสนใจเกี่ยวกับข่าวบันเทิงและต้องเป็นข่าวในด้านลบของดาราคนดังที่มีชื่อเสียงมากกว่าข่าวในด้านดีๆ จะเห็นได้จากหนังสือพิมพ์บันเทิงบางฉบับส่วนมาก ได้มีการนำเสนอข่าวฉาวของดาราและพาดหัวข่าวตัวใหญ่ๆ อยู่หน้าแรกๆ ของหนังสือพิมพ์ เนื่องจากคนในสังคมส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับข่าวประเภทนี้อย่างมาก และเป็นข่าวที่ขายได้ในทุกยุคทุกสมัย เช่น ข่าวรักๆใคร่ๆของดาราดาราคนนั้นเป็นกิ๊กกับคนนี้ ดาราคนนี้แย่งแฟนดาราคนโน่น ฯลฯ ซึ่งการนำเสนอข่าวประเภทนี้ทำให้เกิดความน่าสนใจและอยากติดตามข่าวต่อไปสำหรับผู้อ่าน แต่ในทางกลับกันมันย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ที่ตกเป็นข่าวทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งเราเห็นได้จากข่าวว่ามักมีดาราฟ้องสื่อฉบับโน่นทีฉบับนี้ทีข้อหาที่ทำให้ตนเองเกิดความเสียหายส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
   http://gossipstar.mthai.com/gossip-content/2682

ครูสลา คุณวุฒิ ฟ้องหนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่ง (ดาราเดลี่)  ที่ทำให้ตนเสี่อมเสียชื่อเสียง ข้อหาว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกศิษย์ที่เป็นนักร้องสาวชื่อดัง ต่าย อรทัย
http://www.bkkonline.com/pr/popup.aspx?cid=5&contentid=3232


'กบ สุวนันท์' ควง 'บรู๊ค ดนุพร' ไกล่เกลี่ยคดี 'ดาราเดลี่' หมิ่นฯ เป็นพิธีกรเก๊ ยันคำเดิมไม่ขอเรียกเป็นเงินค่าแต่ขอแค่กู้ชื่อเสียงกลับคืนมาพร้อมยื่นข้อเสนอขอแก้ข่าวในหนังสือพิมพ์รายวัน 5 ฉบับ

            ผู้ที่นำเสนอข่าวย่อมที่จะคิดในแง่มุมของสื่อมวลชนว่า ดารากับสื่อเป็นของคู่กัน รวมทั้งดารายังเป็นคนของสาธารณชนจำเป็นต้องนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ แต่ลองคิดกลับกันในแง่ของจริยธรรมและความถูกต้องกับการนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์บางฉบับ ในบางครั้งการตีพิมพ์ข่าวมันมีความเหมาะสมหรือไม่ และเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นจนเกินไปหรือเปล่า อย่างเช่น การที่มีปาปารัสซี่ ไปแอบถ่ายกิจวัตรประจำวันของดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงว่า วันนี้ไปทำอะไรที่ไหนกับใคร แล้วนำมาเผยแพร่ตามหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิง ซึ่งผู้นำเสนอข่าวต้องลองคิดถึงใจเขาใจเรา และไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนด้วยว่า ข่าวที่จะนำเสนอผ่านหนังสือพิมพ์สู่สาธารณชนนั้นจะส่งผลเสียและกระทบต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งมากน้อยเพียงใด การนำเสนอข่าวมันไม่ใช่เรื่องผิดและเป็นหน้าที่ที่สื่อต้องปฎิบัติอยู่แล้ว แต่ข่าวที่จะนำเสนอมานั้นมันมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือเพียงแค่ต้องการเขียนข่าวเพื่อให้เกิดเป็นกระแสและเป็นที่สนใจของสังคมเท่านั้น มันอาจจะไม่ผิดในแง่ของหน้าที่การงานแต่มันผิดในด้านศิลธรรมและจริยธรรมอันดีของสังคม


           นอกจากนี้การใช้ภาษาในการพาดหัวข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงบางครั้งก็ใช้ภาษาที่ไม่มีความเหมาะสม หลักสำคัญในการพาดหัวข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์คือ ต้องสั้น กระทัดรัด และดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็นทำให้อยากดูอยากเปิดอ่าน แต่ลืมนึกถึงว่าภาษาที่ใช้มันเป็นภาษาวิบัติส่อไปในทางลามก อนาจาร หรือใช้ภาษาที่ทำให้ดาราหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเกิดความเสียหาย ซึ่งผู้นำเสนอข่าวอย่าลืมว่าหนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ได้มีข้อจำกัดตายตัวว่าวัยนี้ห้ามซื้อวัยนี้ห้ามอ่าน บางครั้งเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้อ่านข้อความที่สื่อนำเสนอตามหน้าหนังสือพิมพ์ไปนั้น อาจจะมีการจำและนำไปใช้ในทางไม่ถูกไม่ควรในสังคม

             
           แต่หนังสือพิมพ์บันเทิงก็ไม่ได้มีข้อเสียต่อผู้อ่านและสังคมเสมอไป ยังมีข้อดีที่ทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารความเป็นไปของคนดังหรือดาราในแวดวงบันเทิงที่เราชื่นชอบชื่นชม และเข้าถึงประชาชนได้ง่าย ซึ่งถ้าเราไม่มีสื่อเหล่านี้ก็เป็นการยากที่เราจะทราบและรู้ถึงความเคลื่อนไหวของบุคคลที่ตนเองชื่นชอบ

        อย่างไรก็ตามผมอยากให้หนังสือพิมพ์หรือสื่อเหล่านี้ลองหันมาถามตัวเองว่า ที่จริงแล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงของหนังสือพิมพ์บันเทิงนั้นต้องการนำเสนอสิ่งใดกันแน่ เพียงเพื่อนำเสนอข่าวสารให้ความบันเทิง เพลิดเพลิน และจรรโลงใจสำหรับผู้อ่าน หรือเป็นเพียงเครื่องมือในการทำมาหากินบนความเดือนร้อนของผู้อื่น
 >>>โดยการวิเคราะห์และวิจารณ์สื่อหนังสือพิมพ์บันเทิงในครั้งนี้ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะว่าสื่อหนังสือพิมพ์บันเทิงไม่ดี แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในฐานนะผู้อ่านคนหนึ่ง เพื่อให้หนังสือพิมพ์หรือสื่อเหล่านี้ได้ลองกลับมาทบทวนบทบาทของตนเอง โดยให้ความสำคัญกับการนำเสนอข่าว ให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมากที่สุด ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีให้กับประชาชนทั่วไป และสังคมในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เพื่อปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่เป็นข้อเสีย และกลับมาพัฒนาข้อดีของหนังสือพิมพ์บันเทิงให้ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งๆขึ้นไป ส่วนผู้บริโภคข่าวเองก็ควรไตร่ตรองและพิจารณาด้วยว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนเท็จเพื่อไม่ให้ถูกครอบงำและตกเป็นเหยื่อของสื่อแหล่านี้

4 / 01 /  2555
        
           
               

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรียงความ สิ่งพิมพ์ที่ชื่นชอบ

                     สิ่งพิมพ์ในปัจจุบันมีด้วยกันหลายชนิดทั้งที่เป็นในรูปแบบของหนังสือ บทความ นิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ หรือโปสเตอร์ และอื่นๆอีกมากมาย แต่สิ่งพิมพ์ที่ผมเลือกและชื่นชอบเป็นพิเศษนั้น คือ สิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ เพราะนอกจากจะทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ เพลิดเพลิน สนุกสนานกับเนื้อหาและเรื่องราวของหนังสือภายในเล่มแล้ว  ยังช่วยส่งเสริมจินตนาการ ความคิด ของผู้อ่านได้อีกด้วย ส่วนหนังสือที่ผมจะแนะนำในครั้งนี้ เป็นหนังสือมีลักษณะเล่มเล็กๆไม่ใหญ่มากสามารถพกพาได้สะดวกมีขนาดกระทัดรัดถึงแม้จะมีลักษณะเล็กแต่อัดแน่นไปด้วยสาระและข้อคิดต่างๆมากมาย หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า “แม่เภา” เป็นผลงาน ของ พี่จิก คุณประภาส  ชลศรานนท์ ซึ่งตัวละครที่ชื่อแม่เภานี้เคยได้ถูกถ่ายทอดลงบนละคร เรื่อง “เหมือนแม่ครึ่งหนึ่งก็พึงใจ” เมื่อหลายปีก่อน จนต่อมา “แม่เภา” ได้ถูกถ่ายทอดมาเป็นตัวหนังสือในหนังสือพิมพ์มติชนวันอาทิตย์อยู่หลายๆครั้ง เพื่อมาแก้ไขปมปัญหาต่างๆจากคำถามที่ผู้อ่านส่งมาในคอลัมน์ “คุยกับประภาส” หลังจากนั้นหลายปี แม่เภาก็ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาเป็นหนังสือ เพราะได้รับการตอบรับจากผู้อ่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งตอนแรกผมก็สงสัยว่า แม่เภาคืออะไร? และแม่เภาเป็นใครกันแน่ ? ใครหลายๆคนที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ก็คงสงสัยไม่ต่างกับผมในช่วงแรก เพราะความแปลกของชื่อหนังสือเล่มนี้แหละครับ ผมจึงสนใจแล้วลองซื้อมาอ่านจนในที่สุดก็เกิดความชอบและประทับใจในหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตัวละครหลักที่ชื่อ “แม่เภา”

พี่จิก คุณประภาส   ชลศรานนท์ (ผู้เขียนหนังสือ)
   
         แม่เภา หนังสือเล่มนี้ได้สร้างความประทับใจเป็นอย่างมากให้กับตัวผมเอง เพียงได้อ่านครั้งแรกก็เกิดความชอบและรักในหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาทันที  ผมเชื่อว่าถ้าใครหลายๆคนได้ลองหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านก็คงมีความชื่นชอบและชื่นชมหนังสือเล่มนี้ไม่แพ้กับผมเช่นกัน  แม่เภา เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนผู้ที่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตและวิธีคิดที่เฉลียวฉลาด เอาเรื่องแต่ไม่ก้าวร้าว มีความชัดเจน ใจกว้างใจดี เกลียดการถูกเอาเปรียบกันในสังคมมากที่สุด ซึ่งผู้เขียนได้เขียนตัวละครที่ชื่อแม่เภาได้อย่างเห็นภาพชัดเจนทั้งลักษณะตัวละครรวมทั้งสถานการณ์ต่างๆที่แม่เภาต้องพบเจอ ซึ่งสถานการณ์ภายในเรื่องล้วนมีลักษณะแตกต่างกันออกไป แต่ละสถานการณ์ทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้นแล้วพบเห็นจริงๆในสังคมปัจจุบัน จากนี้ผมจะขอยกตัวอย่างสถานการณ์หรือเรื่องราวต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้ที่แม่เภาได้พบเจอ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรักและประทับใจในหนังสือเล่มนี้และตัวละครตัวนี้ ที่ชื่อแม่เภาเป็นอย่างมาก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากที่แม่เภาได้เดินทางมากรุงเทพเพื่อมาเยี่ยมลูกสาวที่เกษตรฯ แต่พิมพ์ลูกสาวของแม่เภาไม่ค่อยจะมีเวลาว่างสักเท่าไหร่เพราะต้องมาทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้เองแม่เภาเกิดความเหงาขึ้นมาจึงต้องออกมาดูหนังเพียงลำพังคนเดียว แม่เภาได้ต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วหนัง ข้างหลังแม่เภานั้นเป็นหญิงสาวร่างอ้อนแอ้นมากับแฟนหนุ่ม ส่วนข้างหน้าแม่เภาเป็นเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษา ในเวลาต่อมามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งพอมาถึงหน้าโรงหนังก็เดินมาแทรกตัวข้างหน้านักศึกษาหนุ่มที่ต่อแถวอยู่หน้าแม่เภา เมื่อแม่เภาเห็นเหตุการณ์นี้ขึ้นเต็มตา แม่เภาจึงสะกิดหนุ่มนักศึกษา ให้บอกชายวัยกลางคนคนนั้นว่าอย่างแซงคิว แต่หนุ่มนักศึกษาคนนั้นเป็นคนขี้เกรงใจไม่ค่อยกล้า แม่เภาจึงจัดการเองแล้วได้ต่อว่าชายวัยกลางคนคนนั้นไป ชายวัยกลางคนจึงหันมาหาแม่เภาแล้วบอกกับแม่เภาว่า แค่คนเดียวแค่นี้ไม่เสียเวลามากหรอก ขอแค่คนเดียวเอง แม่เภาจึงได้ตอบกลับไปว่า ก็คิดกันอย่างนี้สิ บ้านเมืองถึงได้ยุ่งเหยิง แค่นิดจะเป็นไร แค่หน่อยจะเป็นไร ไอ้นิดหน่อยนี่ ถ้ามันมารวมกันเยอะๆมันก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เมื่อชายวัยกลางคนถูกต่อว่าจากแม่เภาไป จึงได้ชี้ไปที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแล้วบอกว่าคนนี้เป็นหลานผมซึ่งผมได้พาหลานมาดูหนังเรื่องนี้เพราะหลานผมต้องทำรายงานส่งพรุ่งนี้ถ้าไม่ดูรอบนี้ก็ไม่รู้จะดูรอบไหนแล้ว ถ้าดึกกว่านี้รายงานจะเสร็จไม่ทัน แม่เภาจึงใจอ่อนเพราะเห็นแก่เด็กผู้หญิงซึ่งเป็นหลานสาวของชายวัยกลางคนคนนั้น แล้วยอมให้แซงคิว แต่เด็กหญิงคนนั้นปฎิเสธแล้วบอกกับลุงตัวเองว่าหนูอยากภูมิใจ ถ้าหนูได้ดูหนังเรื่องนี้เพราะการได้แซงคิวแล้วทำให้คนอื่นต้องอดดูหนูคงรู้สึกไม่ดีแน่  นี่เป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจในตัวของแม่เภาเป็นอย่างมาก เพราะคิดว่าในสังคมปัจจุบันมีการชอบเอารัดเอาเปรียบเห็นแก่ตัวมากขึ้น เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วผมอยากให้สังคมไทยมีคนอย่างแม่เภาเยอะๆ แต่คิดอีกในแง่มุมหนึ่งคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสังคมบ้านเราปัจจุบันมีมากมาย แต่ไม่ค่อยมีใครที่จะกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิ์และความถูกต้องของตัวเองเหมือนกับแม่เภา  เพราะสังคมของคนไทยเป็นสังคมที่คนกินง่าย อยู่ง่าย ใครทำอะไรเราก็ถือว่าหยวนๆเป็นคนไทยด้วยกันต้องมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน จนบางครั้งมันก็ไม่ค่อยจะยุติธรรมนักสำหรับส่วนรวม แต่ตัวละครที่ชื่อแม่เภาไม่ใช่คนเช่นนั้น เห็นอะไรไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมต่อส่วนรวม     แม่เภาก็จะรีบจัดการ จนบางครั้งขณะอ่านหนังสือเล่มนี้ผมก็คิดในใจว่า ในบางโอกาสก็อยากจะทำอย่างที่แม่เภาทำกับคนเห็นแก่ตัวหรือคนที่คดโกงเหล่านั้นบ้าง ซึ่งผมเชื่อว่าในตัวทุกคนย่อมมีแม่เภาในตัวเองอยู่แล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะคนไทยเป็นคนขี้เกรงใจถูกปลุกฝังให้เป็นคนมีน้ำใจทำให้ไม่กล้าที่จะทำอย่างที่แม่เภาทำก็เป็นได้ เพียงแค่เหตุการณ์ที่ผมยกมาผมก็รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ให้คุณค่ามาก ให้ทั้งความสนุกสนานเพลิดเพลินสำหรับผู้อ่านและยังให้ข้อคิดคติต่างๆมากมายล้วนสามารถนำไปปรับใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบัน ที่สำคัญเนื้อเรื่องในหนังสือยังเป็นการสะท้อนถึงสังคมไทยในปัจจุบันอีกด้วย เมื่อผมอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบผมก็ได้ข้อคิดว่า บางครั้งสังคมไทยของเราเป็นสังคมที่มีการรอมชอม ประนีประนอมสูง โดยที่บางครั้งก็ไม่ได้คิดถึงสาระของการประนีประนอมนั้นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ในบางครั้งเราชอบพูดกันว่าเราต้องเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ต้องมีความเมตตา ช่วยเหลือกัน จนบางทีก็มากจนเกินไป อย่างตัวอย่างหน้าโรงหนังที่มีคนมาแซงคิวเพื่อซื้อตั๋วหนังข้างหน้าแม่เภา บางคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้อาจจะคิดคนละแง่มุมกับผมว่าแม่เภาไม่รู้จักเสียสละ ไม่มีเมตตาเอาเสียเลยนิดๆหน่อยๆก็ยอมกันไม่ได้ ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งผมประทับใจในคำพูดของตัวละครที่ชื่อแม่เภามากที่พูดว่า แค่นิดจะเป็นไร แค่หน่อยจะเป็นไร ไอ้นิดหน่อยนี่ ถ้ามันมารวมกันเยอะๆมันก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ในแง่มุมของผมนั้นผมว่าแม่เภาทำถูกแล้วถ้าเราปล่อยไว้ มันจะกลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของสังคมในภายภาคหน้าแล้วอาจจะแก้ไขไม่ทันแล้วก็เป็นได้ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้สร้างตัวละครที่ชื่อแม่เภาขึ้นมา เพื่อให้เป็นตัวแทนของคนที่กล้าต่อสู้กับความฉ้อฉลเห็นแก่ตัว ซึ่งตัวละครตัวนี้ไม่เคยมองข้ามแม้กระทั่งความฉ้อฉนเล็กๆน้อยเลย ซึ่งถ้าใครที่ได้อ่านเล่มหนังสือเล่มนี้ก็จะทราบว่าตัวละครตัวนี้ได้ต่อสู้กับคนที่ทำผิดต่อคนอื่นในแง่ความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งบางทีตัวเราเองก็มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป
        
       สุดท้ายนี้ผมอยากบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือชนิดไหน หรือสิ่งพิมพ์ประเภทไหนล้วนมีประโยชน์ที่แตกต่างกันไปแทบทั้งสิ้น สิ่งพิมพ์ที่เราเรียกกันว่าหนังสือมันเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เราได้รับรู้สิ่งต่างๆที่เรายังไม่รู้บนโลกใบนี้ ทั้งยังให้ข้อคิดคติเตือนใจ ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และยังเป็นการเปิดโลกทัศน์สำหรับผู้อ่านให้กว้างขึ้น ตัวอย่าง หนังสือแม่เภาที่ผมกล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงหนังสือเล่มเล็กๆ แต่เมื่อผมได้อ่านและเชื่อว่าใครหลายๆคนที่ได้อ่านคงมีทัศนคติความคิดต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันอย่างแน่นอนในด้านความเมตตา ความประณีประนอมที่มากจนเกินไปจนบางครั้งก็ลืมนึกถึงความถูกต้องและความเป็นธรรมของสังคม และมีแรงบันดาลใจกล้าที่จะหันกลับมาต่อสู้กับคนที่ไม่ดีในสังคมเหมือนกับแม่เภา หนังสือแต่ละเล่มจะดีหรือไม่ดีนั้น อยู่ที่ว่าเราจะนำสิ่งที่ได้จากหนังสือแต่ละเล่มไปปรับใช้มากน้อยเพียงใด ถ้ารู้จักนำประโยชน์ที่ได้จากหนังสือเล่มนั้นๆหรือสิ่งพิมพ์ชนิดอื่นๆมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตจริง หนังสือเหล่านั้นก็จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่อ่านอย่างมากมายมหาศาล อย่างเช่นหนังสือแม่เภาที่ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ให้อะไรสำหรับผมมากกว่าความบันเทิงครับ

                                                                                    
                                                                                             
ตัวอย่างละครเรื่อง "แม่เภา"
                                                    



 นาย  สุชาติ  กิจดี  52105010196
                                                   26  /  12 /  2554