วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรียงความ สิ่งพิมพ์ที่ชื่นชอบ

                     สิ่งพิมพ์ในปัจจุบันมีด้วยกันหลายชนิดทั้งที่เป็นในรูปแบบของหนังสือ บทความ นิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ หรือโปสเตอร์ และอื่นๆอีกมากมาย แต่สิ่งพิมพ์ที่ผมเลือกและชื่นชอบเป็นพิเศษนั้น คือ สิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ เพราะนอกจากจะทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ เพลิดเพลิน สนุกสนานกับเนื้อหาและเรื่องราวของหนังสือภายในเล่มแล้ว  ยังช่วยส่งเสริมจินตนาการ ความคิด ของผู้อ่านได้อีกด้วย ส่วนหนังสือที่ผมจะแนะนำในครั้งนี้ เป็นหนังสือมีลักษณะเล่มเล็กๆไม่ใหญ่มากสามารถพกพาได้สะดวกมีขนาดกระทัดรัดถึงแม้จะมีลักษณะเล็กแต่อัดแน่นไปด้วยสาระและข้อคิดต่างๆมากมาย หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า “แม่เภา” เป็นผลงาน ของ พี่จิก คุณประภาส  ชลศรานนท์ ซึ่งตัวละครที่ชื่อแม่เภานี้เคยได้ถูกถ่ายทอดลงบนละคร เรื่อง “เหมือนแม่ครึ่งหนึ่งก็พึงใจ” เมื่อหลายปีก่อน จนต่อมา “แม่เภา” ได้ถูกถ่ายทอดมาเป็นตัวหนังสือในหนังสือพิมพ์มติชนวันอาทิตย์อยู่หลายๆครั้ง เพื่อมาแก้ไขปมปัญหาต่างๆจากคำถามที่ผู้อ่านส่งมาในคอลัมน์ “คุยกับประภาส” หลังจากนั้นหลายปี แม่เภาก็ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาเป็นหนังสือ เพราะได้รับการตอบรับจากผู้อ่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งตอนแรกผมก็สงสัยว่า แม่เภาคืออะไร? และแม่เภาเป็นใครกันแน่ ? ใครหลายๆคนที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ก็คงสงสัยไม่ต่างกับผมในช่วงแรก เพราะความแปลกของชื่อหนังสือเล่มนี้แหละครับ ผมจึงสนใจแล้วลองซื้อมาอ่านจนในที่สุดก็เกิดความชอบและประทับใจในหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตัวละครหลักที่ชื่อ “แม่เภา”

พี่จิก คุณประภาส   ชลศรานนท์ (ผู้เขียนหนังสือ)
   
         แม่เภา หนังสือเล่มนี้ได้สร้างความประทับใจเป็นอย่างมากให้กับตัวผมเอง เพียงได้อ่านครั้งแรกก็เกิดความชอบและรักในหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาทันที  ผมเชื่อว่าถ้าใครหลายๆคนได้ลองหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านก็คงมีความชื่นชอบและชื่นชมหนังสือเล่มนี้ไม่แพ้กับผมเช่นกัน  แม่เภา เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนผู้ที่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตและวิธีคิดที่เฉลียวฉลาด เอาเรื่องแต่ไม่ก้าวร้าว มีความชัดเจน ใจกว้างใจดี เกลียดการถูกเอาเปรียบกันในสังคมมากที่สุด ซึ่งผู้เขียนได้เขียนตัวละครที่ชื่อแม่เภาได้อย่างเห็นภาพชัดเจนทั้งลักษณะตัวละครรวมทั้งสถานการณ์ต่างๆที่แม่เภาต้องพบเจอ ซึ่งสถานการณ์ภายในเรื่องล้วนมีลักษณะแตกต่างกันออกไป แต่ละสถานการณ์ทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้นแล้วพบเห็นจริงๆในสังคมปัจจุบัน จากนี้ผมจะขอยกตัวอย่างสถานการณ์หรือเรื่องราวต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้ที่แม่เภาได้พบเจอ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรักและประทับใจในหนังสือเล่มนี้และตัวละครตัวนี้ ที่ชื่อแม่เภาเป็นอย่างมาก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากที่แม่เภาได้เดินทางมากรุงเทพเพื่อมาเยี่ยมลูกสาวที่เกษตรฯ แต่พิมพ์ลูกสาวของแม่เภาไม่ค่อยจะมีเวลาว่างสักเท่าไหร่เพราะต้องมาทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้เองแม่เภาเกิดความเหงาขึ้นมาจึงต้องออกมาดูหนังเพียงลำพังคนเดียว แม่เภาได้ต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วหนัง ข้างหลังแม่เภานั้นเป็นหญิงสาวร่างอ้อนแอ้นมากับแฟนหนุ่ม ส่วนข้างหน้าแม่เภาเป็นเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษา ในเวลาต่อมามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งพอมาถึงหน้าโรงหนังก็เดินมาแทรกตัวข้างหน้านักศึกษาหนุ่มที่ต่อแถวอยู่หน้าแม่เภา เมื่อแม่เภาเห็นเหตุการณ์นี้ขึ้นเต็มตา แม่เภาจึงสะกิดหนุ่มนักศึกษา ให้บอกชายวัยกลางคนคนนั้นว่าอย่างแซงคิว แต่หนุ่มนักศึกษาคนนั้นเป็นคนขี้เกรงใจไม่ค่อยกล้า แม่เภาจึงจัดการเองแล้วได้ต่อว่าชายวัยกลางคนคนนั้นไป ชายวัยกลางคนจึงหันมาหาแม่เภาแล้วบอกกับแม่เภาว่า แค่คนเดียวแค่นี้ไม่เสียเวลามากหรอก ขอแค่คนเดียวเอง แม่เภาจึงได้ตอบกลับไปว่า ก็คิดกันอย่างนี้สิ บ้านเมืองถึงได้ยุ่งเหยิง แค่นิดจะเป็นไร แค่หน่อยจะเป็นไร ไอ้นิดหน่อยนี่ ถ้ามันมารวมกันเยอะๆมันก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เมื่อชายวัยกลางคนถูกต่อว่าจากแม่เภาไป จึงได้ชี้ไปที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแล้วบอกว่าคนนี้เป็นหลานผมซึ่งผมได้พาหลานมาดูหนังเรื่องนี้เพราะหลานผมต้องทำรายงานส่งพรุ่งนี้ถ้าไม่ดูรอบนี้ก็ไม่รู้จะดูรอบไหนแล้ว ถ้าดึกกว่านี้รายงานจะเสร็จไม่ทัน แม่เภาจึงใจอ่อนเพราะเห็นแก่เด็กผู้หญิงซึ่งเป็นหลานสาวของชายวัยกลางคนคนนั้น แล้วยอมให้แซงคิว แต่เด็กหญิงคนนั้นปฎิเสธแล้วบอกกับลุงตัวเองว่าหนูอยากภูมิใจ ถ้าหนูได้ดูหนังเรื่องนี้เพราะการได้แซงคิวแล้วทำให้คนอื่นต้องอดดูหนูคงรู้สึกไม่ดีแน่  นี่เป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจในตัวของแม่เภาเป็นอย่างมาก เพราะคิดว่าในสังคมปัจจุบันมีการชอบเอารัดเอาเปรียบเห็นแก่ตัวมากขึ้น เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วผมอยากให้สังคมไทยมีคนอย่างแม่เภาเยอะๆ แต่คิดอีกในแง่มุมหนึ่งคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสังคมบ้านเราปัจจุบันมีมากมาย แต่ไม่ค่อยมีใครที่จะกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิ์และความถูกต้องของตัวเองเหมือนกับแม่เภา  เพราะสังคมของคนไทยเป็นสังคมที่คนกินง่าย อยู่ง่าย ใครทำอะไรเราก็ถือว่าหยวนๆเป็นคนไทยด้วยกันต้องมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน จนบางครั้งมันก็ไม่ค่อยจะยุติธรรมนักสำหรับส่วนรวม แต่ตัวละครที่ชื่อแม่เภาไม่ใช่คนเช่นนั้น เห็นอะไรไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมต่อส่วนรวม     แม่เภาก็จะรีบจัดการ จนบางครั้งขณะอ่านหนังสือเล่มนี้ผมก็คิดในใจว่า ในบางโอกาสก็อยากจะทำอย่างที่แม่เภาทำกับคนเห็นแก่ตัวหรือคนที่คดโกงเหล่านั้นบ้าง ซึ่งผมเชื่อว่าในตัวทุกคนย่อมมีแม่เภาในตัวเองอยู่แล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะคนไทยเป็นคนขี้เกรงใจถูกปลุกฝังให้เป็นคนมีน้ำใจทำให้ไม่กล้าที่จะทำอย่างที่แม่เภาทำก็เป็นได้ เพียงแค่เหตุการณ์ที่ผมยกมาผมก็รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ให้คุณค่ามาก ให้ทั้งความสนุกสนานเพลิดเพลินสำหรับผู้อ่านและยังให้ข้อคิดคติต่างๆมากมายล้วนสามารถนำไปปรับใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบัน ที่สำคัญเนื้อเรื่องในหนังสือยังเป็นการสะท้อนถึงสังคมไทยในปัจจุบันอีกด้วย เมื่อผมอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบผมก็ได้ข้อคิดว่า บางครั้งสังคมไทยของเราเป็นสังคมที่มีการรอมชอม ประนีประนอมสูง โดยที่บางครั้งก็ไม่ได้คิดถึงสาระของการประนีประนอมนั้นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ในบางครั้งเราชอบพูดกันว่าเราต้องเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ต้องมีความเมตตา ช่วยเหลือกัน จนบางทีก็มากจนเกินไป อย่างตัวอย่างหน้าโรงหนังที่มีคนมาแซงคิวเพื่อซื้อตั๋วหนังข้างหน้าแม่เภา บางคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้อาจจะคิดคนละแง่มุมกับผมว่าแม่เภาไม่รู้จักเสียสละ ไม่มีเมตตาเอาเสียเลยนิดๆหน่อยๆก็ยอมกันไม่ได้ ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งผมประทับใจในคำพูดของตัวละครที่ชื่อแม่เภามากที่พูดว่า แค่นิดจะเป็นไร แค่หน่อยจะเป็นไร ไอ้นิดหน่อยนี่ ถ้ามันมารวมกันเยอะๆมันก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ในแง่มุมของผมนั้นผมว่าแม่เภาทำถูกแล้วถ้าเราปล่อยไว้ มันจะกลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของสังคมในภายภาคหน้าแล้วอาจจะแก้ไขไม่ทันแล้วก็เป็นได้ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้สร้างตัวละครที่ชื่อแม่เภาขึ้นมา เพื่อให้เป็นตัวแทนของคนที่กล้าต่อสู้กับความฉ้อฉลเห็นแก่ตัว ซึ่งตัวละครตัวนี้ไม่เคยมองข้ามแม้กระทั่งความฉ้อฉนเล็กๆน้อยเลย ซึ่งถ้าใครที่ได้อ่านเล่มหนังสือเล่มนี้ก็จะทราบว่าตัวละครตัวนี้ได้ต่อสู้กับคนที่ทำผิดต่อคนอื่นในแง่ความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งบางทีตัวเราเองก็มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป
        
       สุดท้ายนี้ผมอยากบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือชนิดไหน หรือสิ่งพิมพ์ประเภทไหนล้วนมีประโยชน์ที่แตกต่างกันไปแทบทั้งสิ้น สิ่งพิมพ์ที่เราเรียกกันว่าหนังสือมันเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เราได้รับรู้สิ่งต่างๆที่เรายังไม่รู้บนโลกใบนี้ ทั้งยังให้ข้อคิดคติเตือนใจ ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และยังเป็นการเปิดโลกทัศน์สำหรับผู้อ่านให้กว้างขึ้น ตัวอย่าง หนังสือแม่เภาที่ผมกล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงหนังสือเล่มเล็กๆ แต่เมื่อผมได้อ่านและเชื่อว่าใครหลายๆคนที่ได้อ่านคงมีทัศนคติความคิดต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันอย่างแน่นอนในด้านความเมตตา ความประณีประนอมที่มากจนเกินไปจนบางครั้งก็ลืมนึกถึงความถูกต้องและความเป็นธรรมของสังคม และมีแรงบันดาลใจกล้าที่จะหันกลับมาต่อสู้กับคนที่ไม่ดีในสังคมเหมือนกับแม่เภา หนังสือแต่ละเล่มจะดีหรือไม่ดีนั้น อยู่ที่ว่าเราจะนำสิ่งที่ได้จากหนังสือแต่ละเล่มไปปรับใช้มากน้อยเพียงใด ถ้ารู้จักนำประโยชน์ที่ได้จากหนังสือเล่มนั้นๆหรือสิ่งพิมพ์ชนิดอื่นๆมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตจริง หนังสือเหล่านั้นก็จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่อ่านอย่างมากมายมหาศาล อย่างเช่นหนังสือแม่เภาที่ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ให้อะไรสำหรับผมมากกว่าความบันเทิงครับ

                                                                                    
                                                                                             
ตัวอย่างละครเรื่อง "แม่เภา"
                                                    



 นาย  สุชาติ  กิจดี  52105010196
                                                   26  /  12 /  2554